หากคุณเป็นเกษตรกรที่กำลังมองหาวิธีเพิ่มผลผลิตจากพืชไร่ของคุณให้มากขึ้นโดยไม่เสี่ยงต่อความเสียหายของดินหรือพืช การใช้ แอมโมเนียมซัลเฟต (Grade Caprolactam) เป็นทางเลือกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในหลายประเทศทั่วโลก — เพราะมันไม่ใช่แค่ปุ๋ยไนโตรเจนธรรมดา แต่คือเครื่องมือในการปรับปรุงโครงสร้างดินและเสริมภูมิคุ้มกันของพืช
สารอาหารหลักที่พืชต้องการคือไนโตรเจน (N) และกำมะถัน (S) โดยแอมโมเนียมซัลเฟตมีสัดส่วนไนโตรเจนสูงถึง 21% และกำมะถันประมาณ 24% — ซึ่งมากกว่าปุ๋ยยูเรียทั่วไปที่มีเพียงไนโตรเจน 46% โดยไม่มีกำมะถันเลย
| ประเภทปุ๋ย | ไนโตรเจน (%) | กำมะถัน (%) | เหมาะกับพืชอะไร |
|---|---|---|---|
| แอมโมเนียมซัลเฟต | 21 | 24 | ข้าว ข้าวโพด ผักใบเขียว |
| ยูเรีย | 46 | 0 | ข้าว ข้าวโพด (ต้องผสมกับปุ๋ยกำมะถัน) |
นักวิชาการเกษตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบุว่า: “การใช้แอมโมเนียมซัลเฟตแทนยูเรียในระยะแรกของการปลูกข้าวสามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยได้ถึง 12-15% โดยเฉพาะในพื้นที่ดินเป็นกรดหรือขาดกำมะถัน”
เกษตรกรรายหนึ่งในอำเภอโนนแดงใช้แอมโมเนียมซัลเฟตในปริมาณ 100 กก./ไร่ ตอนปลูกข้าวนาปรัง เขาบอกว่า:
“ผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 20 กก./ไร่ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ใช้ยูเรีย แถมพืชแข็งแรง ไม่เป็นโรคใบไหม้”
เมื่อเทียบกับการใช้ยูเรียเพียงอย่างเดียว แอมโมเนียมซัลเฟตช่วยลดการสูญเสียไนโตรเจนจากการระเหยและล้างออกของน้ำฝนได้ดีกว่าถึง 30% — แปลว่าคุณไม่ต้องใส่เยอะเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิม
จำไว้เสมอว่า “การใส่ปุ๋ยแบบวิทยาศาสตร์ = ผลผลิตที่แน่นอน + รายได้ที่เพิ่มขึ้น” คุณไม่จำเป็นต้องรอฤดูเก็บเกี่ยวถึงจะเห็นผล — ลองใช้ครั้งแรกแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเกษตรกรจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนมาใช้แอมโมเนียมซัลเฟตแทนยูเรีย
ต้องการคำแนะนำเฉพาะสำหรับฟาร์มของคุณหรือตัวอย่างการใช้งานในพืชชนิดอื่น?
ดาวน์โหลดคู่มือการใช้แอมโมเนียมซัลเฟตแบบละเอียด