ในแวดวงเกษตรกรรมยุคใหม่ "การบริหารสมดุลไนโตรเจน (N)" และ "กำมะถัน (S)" ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของพืช ผลผลิต และความอุดมสมบูรณ์ของดิน งานวิจัยจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ชี้ให้เห็นว่า การจัดการธาตุอาหารเหล่านี้อย่างเหมาะสม ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวโพดขึ้นได้ถึงร้อยละ 20 และลดการเสียหายจากโรคพืชได้อย่างมีนัยสำคัญ
ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารหลักที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์โปรตีนและกรดนิวคลีอิกของพืช ในขณะที่กำมะถันเป็นส่วนประกอบสำคัญของกรดอะมิโนและเอนไซม์หลายชนิด สมมติว่าพืชเปรียบเสมือนโรงงานผลิตสินค้าที่ต้องการทั้งวัตถุดิบและแรงงานในการทำงาน ไนโตรเจนคือวัตถุดิบหลัก ส่วนกำมะถันเปรียบเสมือนเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกให้กระบวนการผลิตดำเนินไปอย่างราบรื่น หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง จะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลง ส่งผลต่อสุขภาพและผลผลิตของพืชโดยตรง
ประเภทดิน | ไนโตรเจน (% มวล) | กำมะถัน (% มวล) |
---|---|---|
ดินร่วน | 0.15 - 0.18 | 0.05 - 0.07 |
ดินเหนียว | 0.12 - 0.14 | 0.03 - 0.05 |
ดินทราย | 0.10 - 0.12 | 0.02 - 0.03 |
* ข้อมูลจากรายงานกรมพัฒนาที่ดิน ปี 2022
ความไม่สมดุลของไนโตรเจนและกำมะถันมักนำไปสู่ปัญหา เช่น ใบเหลือง ใบเป็นจุดหรือมีลักษณะพร่ามัว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่อพืชไม่ถูกสังเคราะห์อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิต เช่น ข้าวโพดที่มีค่าความชื้นสูงขึ้น 5% และลดน้ำหนักเฉลี่ยของเมล็ดถึง 12% ซึ่งเกษตรกรต้องเผชิญกับต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการแก้ไขปัญหาและลดผลตอบแทน
การวางแผนการใส่ปุ๋ยต้องพิจารณาสัดส่วนระหว่างไนโตรเจนและกำมะถัน เพื่อส่งเสริมการดูดซึมและการใช้ประโยชน์ของธาตุอาหาร ตัวอย่างการทดลองในแปลงข้าวโพดได้รับคำแนะนำให้อัตราการใส่ไนโตรเจนต่อกำมะถันอยู่ที่ประมาณ 10:1 ถึง 15:1 เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุดพร้อมรักษาสุขภาพดิน โดยแนะนำให้แบ่งใส่เป็นช่วง ๆ เช่น ช่วงเติบโตต้นพืชและช่วงสร้างผลผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ซัลเฟตแอมโมเนียม (Ammonium Sulfate) ระดับ MMA (Micronized Manufactured Ammonium) เป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่มีอนุภาคละเอียดพิเศษ ช่วยเพิ่มการละลายน้ำและการกระจายตัวในดิน ทำให้ธาตุไนโตรเจนและกำมะถันพร้อมสำหรับการดูดซึมของรากพืชมากขึ้น ผลสำรวจในฟิลด์ปลูกข้าวโพดพบว่าการใช้ซัลเฟตแอมโมเนียม MMA เพิ่มการใช้ไนโตรเจนในพืชได้ถึงร้อยละ 15 และลดความสูญเสียไนโตรเจนในรูปของแก๊สแอมโมเนีย (NH3) ได้กว่า 20%
อีกทั้ง MMA ยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุยและเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำเหมาะสมกับสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในภูมิภาคที่เผชิญกับปัญหาภัยแล้งและฝนตกหนัก
จากแนวโน้มการเกษตรอย่างยั่งยืนและแรงกดดันเรื่องการลดการใช้ปุ๋ยเคมี ปัจจุบันเกษตรกรทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารสมดุลธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนและกำมะถัน ในรายงานการศึกษาของสถาบันวิจัยดินโลก (Global Soil Research Institute) พบว่าการใช้ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามหลักสมดุลธาตุอาหารช่วยลดการปล่อยไนโตรเจนจากปุ๋ยเคมีในรูปแก๊สเรือนกระจกลงได้ถึงร้อยละ 25 ซึ่งส่งเสริมภาพลักษณ์เกษตรกรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสมัยใหม่
สรุปได้ว่า การบริหารสมดุลไนโตรเจนและกำมะถันต้องเลือกสรรผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่มีคุณภาพสูง เช่น ซัลเฟตแอมโมเนียมระดับ MMA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ธาตุอาหารและช่วยรักษาสภาพแวดล้อม พร้อมกันนี้การวางแผนการใส่ปุ๋ยให้ตอบโจทย์สภาพดินและความต้องการของพืช จะทำให้เกษตรกรสามารถบรรลุเป้าหมายการเกษตรอย่างยั่งยืนได้จริง
สนใจยกระดับการบริหารธาตุอาหารในแปลงของคุณหรือไม่?
รับคำปรึกษาและตัวอย่างโครงการบริหารไนโตรเจน-กำมะถันสำหรับเกษตรกรมืออาชีพ